วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2562

ประวัติความเป็นมาของไทย

 ข้าวของไทยเป็นพืชอาหารประจำชาติที่มีตำนานประวัติศาสตร์มายาว นานปรากฏ
เป็นร่องรอยพร้อมกับอารยธรรมไทยมาไม่น้อยกว่า 5,500 ปี ซึ่งมีหลักฐานจากแกลบข้าว
ที่เป็นส่วนผสมของดินใช้เครื่องปั้นดินเผาที่บ้าน เชียง อำเภอโนนนกทา ตำบลบ้านโค
 อำเภอภูเวียง อันสันนิษฐานได้ว่าเป็นเมล็ดข้าวที่เก่แก่ที่สุดของไทยรวมทั้งยังพบ
หลักฐานเมล็ดข้าวที่ขุดพบที่ถ้ำ ปุงฮุง จังหวัดแม่ฮ่องสอนโดยแกลบข้าว
ที่พบนี้มีลักษณะของข้าวเหนียวเมล็ด ใหญ่ที่เจริญงอกงามในที่สูง                      
นอกจากนี้ยังมีการคันพบเมล็ดข้าว เถ้าถ่านในดินและรอยแกลบข้าวบนเครื่องปั้นดินเผา
ที่โคกพนมดี อำเภอ พนัสนิคม จังหวัดชลบุรี แสดงให้เห็นถึงชุมชนปลูกข้าวสมัยก่อน
ประวัติศาสตร์ในแถบชายฝั่งทะเล รวมทั้งยังหลักฐานคล้ายดอกข้าวป่าที่ถ้ำเขาทะลุ 
จังหวัดกาญจนบุรี อายุประมาณ 2,800 ปี ซึ่งอยู่ในช่วงรอยต่อ
ของยุคหินใหม่ตอนปลายกับยุคโลหะตอนต้น  ภาพเขียนบนผนังถ้ำหรือผนังหินอายุประมาณ
 6,000 ปี ที่ผาหมอนน้อย บ้านตากุ่ม ตำบลห้วยไผ่ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี 
มีลักษณะคล้ายบันทึกการปลูกธัญพืชอย่างหนึ่งที่มีลักษณะเหมือข้าว 
ภาพควาย แปลงพืชคล้ายข้าว แสดงให้เห็นว่า มนุษย์ได้รู้จักการเพาะปลูกข้าวเป็นอย่างดีแล้ว
นัก วิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น 3 คน คือ Tayada Natabe, Tomoya Akihama
และ Osamu Kinosgitaแห่งมหาวิทยาลัย Tottri และ กระทรวงเกษตรและกรมป่าไม้
ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับเรื่องข้าวไทยดูแกลบจาก แผ่นอิฐโบราณจากโบราณสถาน 
108 แห่งใน 39 จังหวัดทั่งทุกภาคของประเทศไทย ทำให้สันนิษฐานได้ว่าการปลูกข้าว
ในไทยมีมานานนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 6 โดยข้าวที่ปลูกจะเป็นข้าวเหนียวนาสวนเมล็ดป้อม
และข้าวเหนียวไร่เมล็ดใหญ่ ต่อมาการปลูกข้าวเหนียวไร่น้อยลง
แล้วเริ่มมีการปลูกข้าวนาสวนเมล็ดเรียวเพิ่มขึ้น การศึกษาวิจัยนี้ทำให้ทราบว่า
 ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-20 มีข้าวชนิดต่างๆ จำนวน 3 ขนาด คือ
 ข้าวเมล็ดใหญ่ ได้แก่ ข้าวเหนียวที่งอกงามในที่สูง ข้าวเมล็ดป้อม ได้แก่ 
ข้าวเหนียวที่งอกงามในที่ลุ่ม (ทั้งสองชนิดมีการเพาะปลูกก่อนสมัยทวาราวดี 
พุทธศตวรรษที่ 11-16) และเมล็ดข้าวเรียว ได้แก่ 
ข้าวเจ้า พบในสมัยศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-18) 
ซึ่งข้าวแต่ละชนิดพบมากหรือน้อยแตกต่างกันไป
ตามระยะเวลา
     ประมาณ .. 540-570 ไทยได้รับอิทธิพลด้านกสิกรรมและ
การค้าจากจีน ซึ่งคาดว่ามาตามลำน้ำโขงสู่ดินแดนอีสานตอนล่าง
ที่นิยมปลูกข้าวเหนียวเมล็ดป้อม และเมล็ดใหญ่กันอย่างแพร่หลาย
 เช่นเดียวกับภาคกลางในยุคทวาราวดี ใน ช่วงเวลานั้นเริ่มมีการเพาะ
ปลูกข้าวเจ้าเมล็ดยาวเรียวขึ้นแล้ว สันนิษฐานว่านำมาจากอาณาจักรขอม
 ซึ่งในยุคนั้นถือว่า เป็นชนชั้นปกครอง การหุงต้มข้าวเมล็ดยาวนี้แตกต่างจากข้าว
ของชาวพื้นเมือง จึงเชื่อว่าเป็นสาเหตุให้ข้าวชนิดนี้ถูกเรียกว่า ข้าวเจ้า
และเรียกข้าวเหนียวว่า ข้าวไพร่ บ้างก็เรียกว่า ข้าวบ่าว หรือ
 “ข้าวนึ่ง ซึ่งข้าวในสมัยนั้นเรียกกันเป็นสิ่งบ่งบอกชนชั้นได้อีกด้วย
     ใน สมัยกรุงสุโขทัย (.. 1740-2040) ข้าวที่ปลูกในสมัยนี้
ยังเป็นข้าวเหนียวเมล็ดป้อมและเมล็ดยาวเป็นส่วนใหญ่
แต่ก็เริ่มปลูกข้าวเจ้าเมล็ดยาวเรียวเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ 
ในยุคนี้พระมหากษัตริย์ทรงทำนุบำรุงการกสิกรรม ได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ 
ดังปรากฏในศิลาจารึกว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว มีการหักล้างถางพง
และถือครองเป็นที่ทำกิน และที่ดินนั้นจะสืบทอดเป็นมรดกตกทอด
แก่ลูกหลาน การสร้างหลักปักฐานเพื่อประกอบ
อาชีพกสิกรรมเช่นนี้ ก่อให้เกิดระบบการปกครอง
เศรษฐกิจและสังคมขึ้น ดังนั้น ระบบศักดินาซึ่งเป็นการแบ่ง
ระดับชนชั้นตามจำนวนของพื้นที่นาจึงน่าจะเริ่มใน ยุคนี้
     ต่อ มาเข้าสู่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น บ้านเมืองมีความ
มั่งคั่งเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญ อีกทั้งหัวเมืองในอาณาจักร
จำนวนมาก เริ่มระบบการปกครองแบบจตุสดมภ์มี กรมนา
ดูแลและส่งเสริมและสนับสนุนการทำนาอย่างจริงจัง
 เพราะข้าวเป็นอาหารหลักของประชากรและเป็นเสบียงสำรองใน
ยามเกิดศึกสงคราม โดยข้าวที่ปลูกส่วนใหญ่
ยังคงเป็นข้าวเหนียวเมล็ดป้อม และเมล็ดยาว 
แต่การปลูกข้าวเจ้าเมล็ดยาวเรียวมากขึ้นด้วย
     สมัย กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย-กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นในต้น
รัชสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการเก็บอากรข้าวใน
ภาคกลาง ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ข้าวที่ทางราชการแนะนำ
หรือพันธุ์พื้นเมืองที่มีคุณภาพ ส่วนภาคเหนือตอนบนนิยม
ปลูกข้าวเหนียว แต่ในภาคเหนือตอนล่างและภาคใต้เน้น
ปลูกข้าวเจ้าเป็นหลัก
     ใน ช่วงนี้เองที่ประเทศตะวันตกได้ออกล่าอาณานิคม 
และเมืองไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมาย แต่ด้วยพระปรีชาญาณ
 และวิเทโศบายอันชาญฉลาดของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์
ไทยจึงรอดพ้นเงื้อมมือของต่างชาติ และดำรง
เอกราชอยู่ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งคือ การเปิดเสรีการค้ากับต่างประเทศมากขึ้น 
ส่งผลให้ข้าวกลายเป็นสินค้าออก
ที่สำคัญของไทย รัฐบาลต้องขยายพื้นที่เพาะปลูก เพิ่มปริมาณผล
ผลิตข้าวในเขตพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
 ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด

ปัจจุบัน การปลูกข้าวในประเทศไทย คงมีเพียงข้าวเมล็ดป้อม
ที่พบมากในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะที่ข้าวเมล็ดยาว
พบมากในภาคกลางและภาคใต้ ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากที่สุด
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่ปลูกข้าว คิดเป็น 45 % ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งประเทศ
 ส่วนใหญ่ปลูกข้าวหอมมะลิ 105 ซึ่งเป็นข้าวคุณภาพดีที่สุดของโลก
ข้าวที่ปลูกในพื้นที่แถบนี้จึงมักปลูกไว้เพื่อขาย รองลงมาคือ ภาคกลาง
และภาคเหนือ ที่พื้นที่เพาะปลูกเท่ากันประมาณ 25%
ทุกวันนี้ไทยเป็นแหล่งปลูกข้าวที่ผลิตออกสู่ตลาดโลกมากที่สุด
และเป็นศูนย์กลางของการศึกษาวิจัยพันธุ์ข้าว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาท
ของผู้สร้างตำนานแห่งอารยธรรมธัญญาหาร ของมนุษยชาติ


อ้างอิงจากเว็บ: www.arda.or.th/kasetinfo/rice/rice-histories.html#HisThai












ผู้จัดทำ

ด.ญ.ธัญญา ประกอบแก้ว เลขที่18 ด.ญ.พิมพิศา นวลใย เลขที่ 23 ม.2/1